
พื้นไม้ลวดลายจากธรรมชาติที่ไม่ซ้ำใคร การเลือกพื้นไม้ให้เหมาะกับห้อง
ไม้ปูพื้นบ้านเป็นวัสดุจากธรรมชาติที่มอบความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย ผิวสัมผัสที่สบายเท้า แข็งแรงคงทนในตัวเอง พร้อมลวดลายเอกลักษณ์เฉพาะ แต่งบ้านด้วยพื้นไม้แบบไหนดี ไม้ปูพื้นแบบไหนที่ได้รับความนิยม บทความนี้มีคำตอบ
สัมผัสของ “พื้นไม้จริง” ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น และวิธีเลือกไม้ปูพื้นให้เหมาะกับบ้านของคุณ
การเลือก พื้นไม้จริง สำหรับบ้านไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่ยังเป็นการสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น สงบ และเป็นธรรมชาติ ไม้ปูพื้นบ้าน ให้ความรู้สึกแตกต่างจากวัสดุอื่น ทั้งในด้านสัมผัส ความเงียบเมื่อเดินผ่าน และลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ของ แผ่นไม้ปูพื้น แต่ละแผ่น หากคุณกำลังมองหา ไม้พื้น ที่ตอบโจทย์ทั้งความสวยงามและความคงทน ควรพิจารณาจากประเภทของไม้ ความหนา ความเหมาะสมกับพื้นที่ใช้งาน และความสามารถในการทนต่อสภาพแวดล้อม เพื่อให้บ้านของคุณดูดีในระยะยาว
ในบทความนี้ คุณจะพบคำตอบเกี่ยวกับการเลือก ไม้ปูพื้น อย่างไรให้เหมาะกับห้อง ลวดลายที่โดดเด่นไม่ซ้ำใคร และคุณสมบัติของ พื้นไม้ ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพตามมาตรฐานยุโรป
พื้นไม้ คืออะไร
ในปัจจุบัน พื้นไม้ที่มีความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ พื้นไม้หรือผนังไม้วีเนียร์ , พื้นไม้เอนจิเนียร์ , พื้นไม้ MGO ซึ่งต่างใช้ไม้จริงในการทำแผ่นผิวหน้า (Top Layer) เพื่อคงไว้ซึ่งลวดลายธรรมชาติของไม้แท้ ผสานกับโครงสร้างชั้นในที่ช่วยเพิ่มความเสถียรและลดการหดขยายตัวของไม้
พื้นไม้คืออะไร? มีกี่ประเภทให้เลือกใช้ในบ้านของคุณ
ไม้ปูพื้น คือวัสดุปูพื้นที่ทำจากไม้ หรือวัสดุที่เลียนแบบไม้ ซึ่งได้รับความนิยมสูงในงานตกแต่งภายใน เพราะให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติและคลาสสิกเหนือกาลเวลา ปัจจุบัน ไม้พื้น มีให้เลือกหลากหลายประเภท โดยแต่ละแบบมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ทั้งด้านความทนทาน ราคา และความสวยงาม
- พื้นไม้จริง (Solid Wood Flooring) ทำจากไม้ทั้งแผ่น ให้สัมผัสที่เป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง ลวดลายคมชัด มีความแข็งแรงสูง และสามารถขัดผิวไม้เพื่อรีเฟรชใหม่ได้หลายครั้ง เหมาะกับผู้ที่ต้องการความหรูหราและวัสดุจากธรรมชาติล้วนๆ
- พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood Flooring) ผลิตจากไม้จริงชั้นบนประกบกับวัสดุรองพื้นคุณภาพสูง เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ทนต่อความชื้นและการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ เหมาะสำหรับใช้งานในห้องต่างๆ ของบ้าน โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความชื้นอย่างห้องครัวหรือพื้นที่ติดพื้นปูน
- พื้นไม้สังเคราะห์ (Synthetic Flooring) ได้แก่ลามิเนต, SPC และ MGO Flooring ซึ่งเป็นทางเลือกยอดนิยมในยุคใหม่
- พื้น SPC (Stone Plastic Composite) ผลิตจากผงหินและพลาสติก ให้ความแข็งแรงสูง ติดตั้งง่าย และมีราคาย่อมเยา เหมาะสำหรับงานโครงการหรือบ้านที่ต้องการวัสดุทนทานต่อความชื้นในระดับหนึ่ง
- พื้น MGO (Magnesium Oxide) พัฒนาอีกขั้นด้วยเทคโนโลยีแผ่นแร่แมกนีเซียมที่ผสมไฟเบอร์ธรรมชาติ ปราศจาก PVC และสารเคมีอันตราย ไม่ปล่อยฟอร์มาลดีไฮด์หรือ TVOC จึงปลอดภัยต่อสุขภาพมากกว่า MGO ยังโดดเด่นเรื่อง ความเสถียรต่ออุณหภูมิ, ทนไฟระดับ Class A, กันน้ำ 100%, ป้องกันปลวกและเสียงรบกวน, พื้นไม่ลื่น, และยัง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เหมาะทั้งบ้านที่มีเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยง ไปจนถึงพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่มีคนสัญจรจำนวนมาก
พื้นไม้ควรมีความหนาเท่าไหร่ ถึงจะเหมาะกับการใช้งาน
บ้านเรามีสภาพอากาศร้อนชื้น การเลือกใช้ไม้พื้นจะต้องเพื่อโอกาสยืด หด โก่งได้ คุณควรเลือกความหนาประมาณ 13-21 มิลลิเมตร และพื้นไม้ควรมีหน้ากว้างประมาณ 90 มิลลิเมตร
ความหนาของไม้ปูพื้น สำคัญอย่างไร และควรเลือกอย่างไรให้เหมาะกับการใช้งาน
นอกจากลวดลายและวัสดุของ ไม้พื้น แล้ว “ความหนา” ของ แผ่นไม้ปูพื้น ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมีผลต่อทั้งความแข็งแรง ความรู้สึกในการเดิน และอายุการใช้งานโดยรวม สำหรับพื้นที่ใช้งานทั่วไปภายในบ้าน เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือโถงทางเดิน ความหนาแนะนำจะอยู่ที่ประมาณ 8–12 มิลลิเมตร สำหรับพื้นไม้สังเคราะห์ และ 14–20 มิลลิเมตร สำหรับพื้นไม้จริงหรือพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ซึ่งให้ความรู้สึกแน่นและมั่นคงมากกว่า
โดยเฉพาะในกลุ่มพื้นไม้สังเคราะห์ ความหนาคือจุดที่สร้างความแตกต่างอย่างชัดเจน เช่น พื้น SPC ซึ่งมีความหนาเพียงประมาณ 3.5–5 มิลลิเมตร ทำให้แม้จะติดตั้งง่ายและน้ำหนักเบา แต่มีโอกาสเกิดการโก่งหรือบิดตัวได้ง่ายเมื่อเจอกับความชื้นหรือการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ในขณะที่ พื้น MGO ซึ่งมีความหนามาตรฐานที่ 8 มิลลิเมตร นั้น มีโครงสร้างที่แข็งแรงและมีเสถียรภาพมากกว่า ช่วยให้พื้นไม่ยุบ ไม่โก่งงอ และรองรับการใช้งานในทุกสภาพอากาศได้ดีเยี่ยม เหมาะทั้งกับบ้านที่ต้องการความปลอดภัยในระยะยาว หรือพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่มีการใช้งานหนัก
การเลือกความหนาอย่างเหมาะสมกับการใช้งานจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยยืดอายุ ไม้ปูพื้นบ้าน ของคุณ และทำให้บ้านดูสวยงาม มั่นคง และน่าอยู่ในทุกวัน
พื้นไม้มีกี่ประเภท ชนิดไหนได้รับความนิยม
พื้นไม้ MGO
พื้นไม้ MGO อีกหนึ่งทางเลือกที่ยั่งยืนสำหรับการตกแต่งภายในที่ทันสมัย โดยผลิตจากแมกนีเซียมออกไซด์ แข็งแกร่ง ทนทาน เป็นมิตรกับคนและสัตว์เลี้ยงปลอดภัยป้องกันสารเคมี กันน้ำได้ดี กันรอยขูดขีด ปลวกไม่กิน และกันไฟ
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ เป็นพื้นไม้ที่ค่อนข้างได้รับความนิยม เนื่องจากมีราคาถูกกกว่าไม้จริง โดยนำไม้จริงมาผสมกับวัสดุสังเคราะห์อื่น ๆ คุณสมบัติเด่นคือ ทนทานต่อความชื้น การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้ดี เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบ texture ของไม้จริง แต่ต้องการลดต้นทุนการออกแบบและตกแต่ง
พื้นไม้อิตาลี
พื้นไม้อิตาลี ผลิตตามมาตรฐานอิตาลี โดยนำไม้อัดยางปิดผิวด้วยวีเนียร์ไม้ลายประดิษฐ์ ทำให้ง่ายต่อการขึ้นลวดลาย ลวดลายคมชัดจึงนิยมใช้กับงานตกแต่งภายในและการทำเฟอร์นิเจอร์
เทรนด์พื้นไม้ยอดนิยมในปัจจุบัน และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งดีไซน์และการใช้งาน
ปัจจุบันการเลือก ไม้ปูพื้น ไม่ได้เน้นแค่เรื่องความสวยงามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคุณภาพ วัสดุที่ปลอดภัย และดีไซน์ที่แตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ ซึ่งแนวโน้มที่มาแรงในตอนนี้คือการใช้บิ้วอิน พื้นไม้หลายชั้น (Engineered Flooring) ที่มีความแข็งแรงและเสถียรภาพสูง ไม่บิดงอเมื่อเจอกับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง และให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติแทบไม่ต่างจาก พื้นไม้จริง
หนึ่งในนวัตกรรมที่ได้รับความนิยมคือ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์แบบ 3 ชั้น (3-Layer) และ พื้นไม้แบบหลายชั้น (Multiple Layers) ซึ่งได้รับการพัฒนาให้มีความทนทานสูงขึ้น รองรับแรงกระแทกได้ดี และยังช่วยลดการหดหรือขยายตัวของไม้เมื่อต้องเผชิญกับความชื้น เหมาะสำหรับการใช้งานในทุกห้องของบ้าน โดยเฉพาะรุ่นที่มาพร้อม ลวดลายสไตล์อิตาเลียน (Italian Design Pattern) ที่ให้ความรู้สึกหรูหรา และทันสมัยในแบบยุโรป พร้อมคงความงามของลายไม้ธรรมชาติไว้อย่างชัดเจน
นอกจากพื้นไม้เอ็นจิเนียร์แล้ว อีกหนึ่งทางเลือกใหม่ที่กำลังเป็นที่จับตามองคือ พื้นไม้ MGO (Magnesium Oxide Flooring) ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมวัสดุปูพื้นแห่งอนาคต ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่เหนือกว่าพื้นไม้สังเคราะห์ทั่วไป ทั้งเรื่องความปลอดภัยจากสารเคมี (Zero Formaldehyde, PVC-Free), ความแข็งแรงทนทาน, กันน้ำ 100%, กันไฟระดับ Class A และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง เหมาะสำหรับบ้านที่ใส่ใจสุขภาพ ครอบครัวที่มีเด็กเล็ก หรือสัตว์เลี้ยง และผู้ที่ต้องการวัสดุที่ดูแลรักษาง่ายในระยะยาว
ไม้พื้นจริงควรติดตั้งอย่างไร
ขั้นตอนปูพื้นไม้จริง มีดังนี้
- เทปูนให้เสมอกับคานไม้ที่ทำไว้
- ทากาวลงบนพื้นไม้ให้ทั่ว จากนั้นวางแนวขวางบนคานไม้ แล้วใช้สกรูมายิงเพื่อยึดให้แน่น
- ขัดพื้นไม้ให้เรียบเสมอกัน
- ทารองพื้นด้วยยูริเทนและตามด้วยสีย้อม
วิธีติดตั้งไม้ปูพื้นบ้าน: พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (ระบบกาว) และพื้นไม้ MGO (ระบบคลิกล็อก)
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิธีติดตั้งไม้ปูพื้นบ้านด้วยตนเอง บทความนี้จะอธิบายขั้นตอนการติดตั้งพื้นไม้ในบ้านอย่างง่าย ๆ โดยมุ่งเน้นสองระบบหลักที่นิยมใช้ ได้แก่ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood Flooring) ที่ติดตั้งด้วยระบบกาว และ พื้นไม้ MGO (Magnesium Oxide Flooring) ที่ติดตั้งด้วยระบบคลิกล็อก ทั้งสองวิธีมีจุดเริ่มต้นเหมือนกันคือการ ปรับระดับพื้น ให้เรียบได้ระดับก่อนลงมือปูไม้ แต่ก็มีข้อแตกต่างสำคัญบางประการ: พื้นไม้ MGO จำเป็นต้องปูแผ่นรองพื้นเพื่อป้องกันความชื้น ในขณะที่ระบบกาวของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์สามารถติดตั้งลงบนพื้นโดยตรงโดยไม่ต้องมีชั้นรองพื้นดังกล่าว
ขั้นตอนติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (ระบบกาว)
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์เป็นไม้พื้นที่มีชั้นผิวหน้าเป็นไม้จริง ให้ความสวยงามเหมือนพื้นไม้จริง แต่โครงสร้างด้านล่างเป็นไม้อัดที่ช่วยเพิ่มความเสถียร การติดตั้งด้วยระบบกาวหมายถึงการยึดแผ่นไม้ปูพื้นเข้ากับพื้นบ้านโดยตรงด้วยกาวพิเศษ (เช่น กาวโพลียูรีเทน) โดยไม่ต้องมีโฟมหรือชั้นรองพื้น ขั้นตอนโดยสรุปมีดังนี้:
- ปรับระดับพื้นและเตรียมพื้นผิว: เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบพื้นคอนกรีตหรือพื้นที่จะปูว่าเรียบเสมอกัน ไม่มีหลุมหรือนูน พื้นต้องแข็งแรงและแห้งสนิท ปรับระดับพื้น ด้วยปูนหรือสารปรับระดับถ้าจำเป็น และทำความสะอาดฝุ่น ผง หรือคราบมันออกให้หมด เพื่อให้กาวยึดเกาะได้ดี
- ทากาวลงบนพื้น: เมื่อพื้นพร้อมแล้ว ให้ทากาว PU (กาวโพลียูรีเทน) ลงบนพื้นในบริเวณที่จะปูไม้ทีละส่วน ใช้เกรียงปาดกาวให้สม่ำเสมอ (ความหนาของกาวตามที่ผู้ผลิตแนะนำ) การทากาวทีละพื้นที่จะช่วยป้องกันไม่ให้กาวแห้งก่อนจะวางไม้ กาวประเภทนี้ไม่มีส่วนผสมของน้ำ จึงยึดติดแน่นและยืดหยุ่น เหมาะกับงานปูไม้พื้น
- วางแผ่นไม้แถวแรก: นำแผ่นพื้นไม้เอ็นจิเนียร์แผ่นแรกวางลงบนกาวโดยเริ่มจากมุมห้องด้านหนึ่ง จัดให้ตรงแนวตามทิศทางที่ต้องการปู เว้นช่องว่างเล็กน้อยระหว่างแผ่นไม้กับผนัง (ประมาณ 1 ซม.) เพื่อเผื่อการขยายตัวของไม้ ไม้ปูพื้นแต่ละแผ่นมักมีร่องลิ้น (tongue & groove) ที่ขอบ สำหรับระบบกาวนี้ สามารถปาดกาวบาง ๆ ที่ขอบร่องลิ้นของแผ่นไม้ก่อนประกบเข้าด้วยกัน เพื่อให้แผ่นไม้แต่ละชิ้นยึดติดกันแน่นยิ่งขึ้น
- ติดตั้งแผ่นไม้ที่เหลือ: ต่อแถวแรกจนสุดผนังไม้โดยตัดแผ่นสุดท้ายให้พอดี (อย่าลืมเว้นช่องว่างที่ผนังด้านนั้นด้วย) จากนั้นเริ่มแถวถัดไปโดยใช้เศษไม้ที่เหลือจากการตัด (ถ้ามีความยาวพอ) เพื่อสลับรอยต่อไม่ให้ตรงกับแถวก่อน วางแผ่นไม้ลงบนกาวทีละแถว จัดแนวข้อต่อให้เยื้องกัน (ประมาณหนึ่งในสามหรือครึ่งแผ่น) เพื่อความแข็งแรงและลวดลายที่สวยงาม กดแผ่นไม้ลงบนกาวและใช้ค้อนยางเคาะเบา ๆ ที่ขอบเพื่อให้ร่องลิ้นประกบแน่นกับแผ่นก่อนหน้า ทำซ้ำขั้นตอนนี้ทีละแถวจนปูเต็มพื้นที่ห้อง
- เก็บงานและรอกาวแห้ง: เมื่อปูพื้นไม้ครบทั่วทั้งห้องแล้ว ให้ตรวจสอบความเรียบร้อยของรอยต่อและเช็ดกาวส่วนเกินที่อาจเลอะบนผิวไม้ทันที ก่อนที่กาวจะแข็งตัว ทิ้งพื้นไว้ให้กาวเซ็ตตัวอย่างน้อย 24 ชั่วโมง โดยหลีกเลี่ยงการเดินหรือวางของหนักบนพื้นที่ติดตั้งใหม่ ช่วงนี้ไม้พื้นจะยึดติดกับพื้นบ้านอย่างสมบูรณ์ สุดท้ายติดตั้งบัวเชิงผนังหรือตัวจบขอบพื้นเพื่อปิดช่องว่างริมผนัง เท่านี้ก็เสร็จสิ้นการติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ระบบกาว ซึ่งจะได้พื้นไม้ที่แน่นแข็งแรงเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นบ้าน
ขั้นตอนติดตั้งพื้นไม้ MGO (ระบบคลิกล็อก)
พื้นไม้ MGO (Magnesium Oxide) เป็นวัสดุไม้ปูพื้นไฮบริดที่มีส่วนผสมของแมกนีเซียมออกไซด์ ทำให้แข็งแรง ทนความชื้นและปลวก และมักมาพร้อมระบบเข้าล็อกในตัว (Click Lock) การติดตั้งพื้นชนิดนี้จะเป็นแบบ “ปูลอย” (Floating Floor) คือไม่ต้องยึดติดกับพื้นด้วยกาวหรือตะปู แต่ใช้การคลิกล็อกเชื่อมแผ่นไม้ปูพื้นบ้านแต่ละชิ้นเข้าด้วยกัน ขั้นตอนการติดตั้งดังนี้:
- ปรับระดับพื้นและตรวจความชื้น: เช่นเดียวกับระบบกาว ให้ตรวจสอบพื้นห้อง (พื้นปูนหรือพื้นเดิม) ว่าเรียบและได้ระดับ ไม่มีเศษวัสดุ หินกรวด หรือความชื้นหลงเหลือ พื้นควรแห้งสนิทเพื่อป้องกันปัญหาความชื้นในระยะยาว ปรับระดับพื้น หากพบจุดบกพร่อง เพราะหากพื้นไม่เรียบ อาจทำให้แผ่นไม้ MGO ยวบหรือไม่แนบสนิทเมื่อเดินเหยียบ
- ปูแผ่นรองพื้นกันชื้น: ขั้นตอนสำคัญสำหรับพื้น MGO คือการปูแผ่นรองพื้น (เช่น แผ่นโฟมรองพื้นหรือแผ่นพลาสติกโพลีเอทิลีน) ให้ทั่วบริเวณพื้นห้องก่อนวางแผ่นไม้ แผ่นรองพื้นนี้มีหน้าที่เป็นตัวกันความชื้นจากพื้นล่างไม่ให้ขึ้นมาทำความเสียหายแก่ไม้พื้น และยังช่วยลดเสียงดังรวมถึงเพิ่มความนุ่มเท้าเมื่อเดินบนพื้นไม้ ปูให้เรียบตึงและ ติดเทปยึดรอยต่อของแผ่นรองพื้น (ถ้ามีหลายแผ่น) เพื่อไม่ให้ซ้อนทับหรือขยับขณะปูพื้นไม้
- วางแผ่นไม้ MGO แถวแรก: เริ่มต้นการติดตั้งด้วยการวางแผ่นไม้ MGO แผ่นแรกที่มุมห้อง โดยให้ด้านร่องของแผ่นไม้หันเข้าหาผนัง วางตัวเว้นระยะหรือ ลิ่มไม้เล็กที่ริมผนังเพื่อกันระยะห่างประมาณ 0.8-1 ซม. รอบห้อง (เผื่อการขยายตัวของพื้นไม้เมื่ออุณหภูมิหรือความชื้นเปลี่ยน) จากนั้นนำแผ่นไม้แผ่นถัดไปมาต่อเข้ากับแผ่นแรกโดยเอียงทำมุมเล็กน้อยและสอดสลักเข้าที่ร่องคลิกล็อก กดหรือเคาะเบา ๆ ให้แผ่นเข้าล็อกกันจนแน่นสนิท ทำต่อเนื่องไปจนครบแถวแรก ตัดแผ่นสุดท้ายของแถวให้พอดีกับพื้นที่ที่เหลือ (เว้นช่องที่ผนังด้วยลิ่มเช่นเดิม)
- ปูแถวต่อ ๆ ไป: เริ่มแถวที่สองด้วยชิ้นส่วนไม้ที่เหลือจากการตัด (ถ้ายาวพอ) เพื่อให้รอยต่อสลับตำแหน่งกับแถวก่อนหน้า (อย่างน้อยควรเหลื่อมกันประมาณ 30-40 ซม.) นำแผ่นไม้ MGO ของแถวใหม่สอดเข้ากับร่องแผ่นไม้ของแถวที่ปูไปแล้ว โดยเข้าล็อกด้านยาวก่อน: เอียงแผ่นทำมุมแล้วสอดลิ้นเข้าร่องด้านข้างของแผ่นแถวก่อนหน้า จากนั้นกดลงให้คลิกล็อกเข้าที่ แล้วจึงต่อแผ่นถัดไปในแถวเดียวกันด้วยการคลิกล็อกด้านหัวต่อ (ด้านสั้น) เข้ากับแผ่นก่อนหน้า ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ทีละแถวจนเต็มพื้นที่ห้อง ระหว่างปูคอยตรวจสอบว่าทุกแผ่นล็อกสนิทดีและพื้นไม้เรียบเสมอกัน หากบางจุดแผ่นไม่แนบสนิทให้รื้อออกแล้วคลิกใหม่ก่อนเดินหน้าต่อ
- เก็บงานและตรวจสอบความเรียบร้อย: หลังปูพื้นครบทุกแถว ให้ถอดลิ่มไม้เว้นระยะออกทั้งหมด จะเหลือช่องว่างเล็กน้อยริมผนังรอบห้องตามที่เว้นไว้ ขั้นตอนสุดท้ายคือติดตั้งบัวเชิงผนังหรือวัสดุปิดขอบพื้นเพื่อปิดช่องว่างนี้และยึดให้พื้นไม้ไม่ขยับตัว พื้นไม้ MGO ระบบคลิกล็อกนี้พร้อมใช้งานทันที ไม่ต้องรอกาวแห้งเหมือนระบบกาว เพียงทำความสะอาดเศษฝุ่นและตรวจเช็คความเรียบร้อย ก็จะได้พื้นไม้ใหม่ที่สวยงามแน่นหนา โดยยังคงคุณสมบัติกันน้ำและทนทานตามแบบของวัสดุ MGO
ทั้งสองระบบการติดตั้งไม้ปูพื้นบ้านนี้ หากดำเนินการตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง จะได้พื้นไม้ใหม่ที่เรียบสวยและมีความทนทาน ไม่ว่าจะเป็นความแน่นหนาของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ระบบกาวที่ให้ความรู้สึกมั่นคงเสมือนไม้ปูพื้นเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างบ้าน หรือความรวดเร็วสะดวกของพื้นไม้ MGO ระบบคลิกล็อกที่สามารถใช้งานได้ทันทีและป้องกันปัญหาความชื้นได้ดี การปรับระดับพื้นและการเตรียมงานที่ดีตั้งแต่แรกเริ่มคือหัวใจสำคัญที่ทำให้การปูพื้นไม้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีและทำให้บ้านของคุณสวยงามด้วยพื้นไม้อันอบอุ่นไปอีกนาน
วิธีการดูแลพื้นไม้ให้เงางาม ทนทาน
- กวาดฝุ่นผง เศษขยะ ออกจากพื้นไม้
- ใช้ไม้ถูพื้น บิดน้ำพอหมาด ถูทำความสะอาด
- ใช้ผ้าแห้งถูซ้ำอีกรอบ
การดูแลรักษาพื้นไม้ที่ง่ายดาย เพราะความแข็งแรงคือหัวใจของงานดีไซน์
หนึ่งในเหตุผลที่ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ และ พื้นไม้ MGO กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมในบ้านยุคใหม่ คือ “ความง่ายในการดูแลรักษา” เพราะวัสดุทั้งสองประเภทนี้ได้รับการออกแบบมาให้มี ความแข็งแรง และ ทนทาน ต่อการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินผ่านบ่อย ๆ การวางเฟอร์นิเจอร์ หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ พื้นไม้เหล่านี้ก็ยังคง ลวดลายคมชัด และสภาพผิวที่เรียบเนียนเหมือนใหม่เสมอ
สำหรับ ไม้พื้น เอ็นจิเนียร์ ผิวหน้าทำจาก ไม้จริง จึงให้สัมผัสที่เป็นธรรมชาติ แต่ผ่านการเคลือบป้องกันรอยขีดข่วนและคราบสกปรกมาแล้ว ทำให้การทำความสะอาดเป็นเรื่องง่าย เพียงใช้ไม้กวาด ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ หรือเครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดเป็นประจำ ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องลงแว็กซ์บ่อยหรือใช้ผลิตภัณฑ์เคมีรุนแรง
ในขณะที่ พื้นไม้ MGO ยิ่งดูแลง่ายเข้าไปอีก ด้วยคุณสมบัติ กันน้ำ 100%, กันปลวก, ไม่ลื่น, และ ทนไฟระดับ Class A ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องความชื้น คราบน้ำ หรือแม้แต่รอยขีดข่วนจากสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าคุณจะใช้งานในห้องครัว ห้องน้ำ พื้นที่เชิงพาณิชย์ หรือบ้านที่มีเด็กเล็ก พื้นไม้ MGO ก็ยังให้ความสบายใจในการใช้งานระยะยาวโดยไม่ต้องดูแลมาก
ไม้ปูพื้นบ้าน ที่ดี ไม่ใช่แค่สวย แต่ต้องใช้งานได้จริงในทุกวัน และพื้นไม้ทั้งสองประเภทนี้คือคำตอบที่ลงตัว สำหรับบ้านที่ต้องการความเรียบง่ายแต่ยังคงคุณภาพในทุกตารางนิ้ว
พื้นไม้คุณภาพ มีมาตรฐานจาก Mobel Bangkok
Mobel Bangkok: ผู้เชี่ยวชาญด้านไม้และวัสดุปูพื้นจากประสบการณ์กว่า 50 ปี
หากคุณกำลังมองหา ไม้ปูพื้น ที่ผสานทั้งคุณภาพ ความสวยงาม และความใส่ใจในทุกรายละเอียด Mobel Bangkok คือแบรนด์ที่พร้อมตอบโจทย์คุณได้อย่างแท้จริง เราคือผู้เชี่ยวชาญในวงการไม้และวัสดุตกแต่งภายในที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 50 ปี ส่งต่อความรู้ ความชำนาญ และความหลงใหลในงานไม้ จากรุ่นสู่รุ่น สู่การพัฒนาวัสดุปูพื้นที่ทั้งงดงามและใช้งานได้จริง
ไม่ว่าจะเป็น พื้นไม้เอ็นจิเนียร์หลายชั้นลวดลายอิตาเลียน ที่ทั้งหรูหราและแข็งแรง หรือ พื้นไม้ MGO วัสดุรุ่นใหม่ที่มาพร้อมนวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยและการดูแลที่ง่ายดาย เราเลือกใช้เฉพาะวัสดุที่ดีที่สุด ผ่านมาตรฐานระดับสากล เพื่อให้คุณมั่นใจในทุกการใช้งาน
หากคุณสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรืออยากชมสินค้าจริง สามารถติดต่อเราได้ที่
ปูด้วยพื้นไม้ มีเอกลักษณ์ คงทน คลาสสิก
พื้นไม้สามารถใช้งานได้หลากหลาย ทั้งบ้านสไตล์หรู Luxury สไตล์ Minimal, Wabi Sabi, Japandi และสไตล์อื่น ๆ อีกมากมาย อีกทั้งยังขึ้นลวดลายได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะผ่านกาลเวลานานเท่าใด ไม้ปูพื้นก็ยังคงทน สวยงามคลาสสิกเสมอ
เติมเต็มบ้านของคุณด้วยพื้นไม้ที่มีทั้งคุณภาพและจิตวิญญาณของงานออกแบบ
Mobel Bangkok ไม่ได้เป็นเพียงแค่แบรนด์ ไม้ปูพื้นบ้าน แต่เราคือผู้นำที่หลอมรวม ความงามจากธรรมชาติ เข้ากับ นวัตกรรมล้ำสมัย เพื่อสร้างสรรค์วัสดุปูพื้นที่มีทั้งความแข็งแรง ความปลอดภัย และดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ วัสดุของเราถูกออกแบบให้ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตจริง พร้อมส่งเสริมบรรยากาศให้บ้านของคุณอบอุ่น มีเสน่ห์ และเต็มไปด้วยพลังบวกในทุกย่างก้าว ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่ตกแต่งในสไตล์
- Modern Scandinavian ที่เน้นความอบอุ่น เรียบง่าย และการใช้วัสดุธรรมชาติ
- Minimal Luxury ที่ต้องการพื้นไม้สีอ่อนเนียนตาให้กลมกลืนกับเฟอร์นิเจอร์โทนเบจและทอง
- Japandi Style ซึ่งผสมผสานความสงบแบบญี่ปุ่นกับฟังก์ชันแบบสแกนดิเนเวีย
- หรือแม้แต่ Contemporary Loft ที่เน้นความขัดแย้งระหว่างผิวไม้ธรรมชาติกับปูนเปลือยหรือเหล็กดำ
วัสดุปูพื้นจาก Mobel Bangkok ก็สามารถเติมเต็มความงามในแบบของคุณได้อย่างลงตัว
ไม่ว่าจะเป็นลวดลายอิตาเลียนที่หรูหราเหนือกาลเวลา หรือพื้น MGO ที่พร้อมรับมือกับทุกเงื่อนไขของการใช้งาน – ทุกชิ้นงานจากเราเปรียบเสมือน “พื้นฐานของการใช้ชีวิตที่ดี” และ “พื้นหลังของความสุขที่ยั่งยืน”
เลือก Mobel Bangkok แล้วให้บ้านของคุณสะท้อนตัวตน ผ่านพื้นไม้ที่ทั้งสวย ทน และแตกต่างอย่างมีระดับ